สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเรียนพลังงานบำบัด

สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจเรียนพลังงานบำบัด

สำหรับโพสต์นี้ โค้ชเก๋เรียบเรียงขึ้นมาจากมุมมองของคนที่เรียนและฝึกฝนศาสตร์พลังงานบำบัดที่ดีมาก 2 ศาสตร์ คือ เรกิ (Reiki) และ การบำบัดด้วยพลังปราณ (Pranic Healing) ผู้ที่สนใจและกำลังอยากเรียนรู้เกี่ยวกับ 2 ศาสตร์นี้ แต่ยังไม่แน่ใจว่าควรเรียนศาสตร์ไหนดี แล้วศาสตร์ไหนเหมาะกับเรามากกว่า ลองอ่านและพิจารณาดูว่า ตัวเองเหมาะกับแนวทางการพัฒนาของเรกิ หรือ พลังปราณบำบัดมากกว่ากันนะคะ ขอย้ำว่า โค้ชเก๋เรียบเรียงจากมุมมองส่วนตัวที่เรียนเรกิมาตั้งแต่ปี 2016 และปัจจุบันก็ได้เป็นครูสอนศาสตร์พลังบำบัดเรกิแล้ว ส่วนการบำบัดด้วยพลังปราณ ก็เรียนและฝึกฝนจนสามารถใช้ดูแลตนเองและคนรอบข้างได้ผลเป็นอย่างดีมาหลายปีแล้วเช่นกัน

เรามาเริ่มกันจากภาพรวมของคำว่า พลังงานบำบัด (Energy Healing) ว่า ศาสตร์นี้คืออะไร มีประโยชน์ยังไงกันค่ะ

พลังงานบำบัด (Energy Healing) คือ ศาสตร์ที่เน้นการทำงานกับสนามพลังงาน (Aura) และศูนย์พลังงาน (Chakra) ของมนุษย์ โดยเน้นการค้นหาจุดที่พลังงานปิดกั้น (Blockage) จุดที่พลังงานคั่ง (Congestion) และจุดที่พลังงานพร่อง (Depletion) ซึ่งคือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความไม่สมดุลของสนามพลังงาน หากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อด้านต่างๆในวงล้อชีวิตได้ นอกจากนี้ศาสตร์พลังงานบำบัดยังสามารถชะล้างพลังงานลบ เติมพลังงานบวก และปรับสมดุลให้กับสนามพลังงาน

ในปัจจุบันศาสตร์พลังงานบำบัด ได้รับการยอมรับและพิสูจน์แล้วว่า สามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพแบบองค์รวม กระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค ปรับเปลี่ยนสภาวะของอารมณ์และความคิดให้เป็นบวกได้ หรือ กล่าวได้ว่า พลังงานบำบัด สามารถเยียวยาคนได้ทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์พลังงานบำบัด สามารถนำศาสตร์นี้ไปประยุกต์ใช้ร่วมกับศาสตร์อื่นๆได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยาแบบผสมผสาน ได้แก่ การบำบัดด้วยกลิ่น (Aromatherapy) การบำบัดด้วยเสียง (Sound Healing) การบำบัดด้วยหิน (Crystal Healing) หรือ การพัฒนาศักยภาพ (Potential Development)

สำหรับศาสตร์พลังงานบำบัดที่โค้ชเก๋นำมาเล่าให้ฟังนี้ คือ เรกิ (Reiki) และ การบำบัดด้วยพลังปราณ (Pranic Healing)

  1. เรกิ (Reiki)

การดูแลสุขภาพตามแนวทางเรกิ เน้นการชะล้างพลังงานลบ และเติมพลังปราณบริสุทธิ์ให้กับสนามพลังงานมนุษย์ (Energy Purification and Replenishment)  ร่วมกับ การฝึกญาณทัศนะ  (Intuition) โดยเรกิจะใช้การดึงเอาพลังปราณบริสุทธิ์ (Divine Energy) ลงมาเยียวยาอาการเจ็บป่วยต่างๆทั้งทางกายและจิตใจ ด้วยกลไกคล้ายกับการนำน้ำสะอาดมาชะล้างสิ่งสกปรก  โดยส่งพลังปราณบริสุทธิ์ผ่านการวางมือในตำแหน่งหลัก 10-12 ตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นนักบำบัดด้วยเรกิขั้นต้น หรือ ขั้นสูง ก็จะมีการวางมือในแบบเดียวกัน โค้ชเก๋ มักเปรียบเทียบให้นักเรียนเข้าใจง่ายๆว่า เรกิคือ กระบวนท่าเดียวรักษาทุกโรค

 

ถ้าหากว่าเราต้องการเรียนเรกิเพื่อไว้ดูแลตัวเอง สามารถเรียนแค่เรกิ 1 (Reiki for Self) แต่หากว่าต้องการเป็นนักบำบัดด้วยพลังเรกิ (Reiki Healer) เราก็ต้องเรียนต่อเรกิ 2 (Reiki for Others) ไปจนถึง เรกิ 3 (Reiki Master) ซึ่งนอกจากจะทำให้เราดึงพลังปราณบริสุทธิ์ลงมาได้มากขึ้นแล้ว เรายังต้องฝึกญาณทัศนะ (Intuition) เพื่อให้สามารถวินิจฉัยอาการและสาเหตุของอาการได้แม่นยำขึ้นด้วย

 

การฝึกญาณทัศนะ คือ จุดที่แยกความแตกต่างระหว่างนักบำบัดขั้นต้น กับ นักบำบัดขั้นสูง และเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นนักบำบัดด้วยพลังเรกิ (Professional Reiki Healer) ทำให้ครูบาอาจารย์ที่สอนศาสตร์เรกิมีหลักสูตรพัฒนาญาณทัศนะให้กับผู้เรียนเพิ่มเติม ได้แก่ การอ่านออร่า (Aura Vision) การพัฒนาญาณทิพย์ (Psychic Development) การอ่านพลังงานจากวัตถุ (Psychometry) รวมทั้งหลักสูตรที่ใช้เครื่องมือเพื่อเสริมการบำบัดที่ใช้ร่วมกับญาณทัศนะ ได้แก่ การใช้หินคริสตัล (Crystal Healing) การใช้เพนดูลัม (Pendulum Diagnosis)

จุดเด่นของเรกิ คือ การใช้พลังปราณบริสุทธิ์เพื่อปรับสมดุลกายพลังงานแบบองค์รวมโดยมีการวางมือในรูปแบบเดียว และใช้ญาณทัศนะเพื่อระบุประเด็นหลักของปัญหา รวมทั้งบำบัดอาการต่างๆทั้งในระดับร่างกาย อารมณ์ ความคิด และจิตวิญญาณได้

  1. การบำบัดด้วยพลังปราณ (Pranic Healing)

การดูแลสุขภาพตามแนวทางการบำบัดด้วยพลังปราณ คือ การฝึกดึงและกำกับพลังปราณจากธรรมชาติมาใช้ในการบำบัดอาการเจ็บป่วยต่างๆ ด้วยกลไกคล้ายการฝังเข็ม เพียงแต่ไม่ต้องใช้เข็ม แต่ใช้การกำกับพลังปราณให้ลงไปยังจุด/บริเวณที่ทำการบำบัด ซึ่งผู้ที่ฝึกฝนเพื่อเป็นนักบำบัดด้วยพลังปราณ (Pranic Healer ) จะเริ่มจากการเรียนขั้นพื้นฐานและค่อยๆพัฒนาในขั้นที่สูงขึ้นไปตามลำดับขั้นของหลักสูตร  โดยเน้นการฝึกรับรู้และส่งพลังปราณผ่านฝ่ามือ ทั้งการสแกน การกวาด การเติมพลัง ร่วมกับการกำหนดจิตเพื่อดึงพลังปราณเข้ามา และกำกับการส่งพลังปราณออกไป นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรที่ใช้หินคริสตัลเพื่อเสริมการบำบัดด้วยเช่นกัน

จุดเด่นของการบำบัดด้วยพลังปราณ คือ หากรู้ว่าเป็นโรคอะไร จะมีแนวทางการบำบัดสำหรับแต่ละโรคอย่างละเอียด และตรงกับอาการ จึงสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยทางกายรวมทั้งทางจิตใจที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน หรือแม้ไม่รู้ว่าป่วยเป็นโรคอะไร ก็ยังสามารถใช้การปรับสมดุลของศูนย์พลังงานในร่างกายเพื่อเยียวยาแบบองค์รวมได้

ดังนั้น ความแตกต่างของเรกิกับการบำบัดด้วยพลังปราณ หลักๆอยู่ที่ เรกินั้นเน้นฝึกการบำบัดร่วมกับการใช้ญาณทัศนะ ในขณะที่การบำบัดด้วยพลังปราณ เน้นฝึกตามแนวทางในตำราที่มีการแยกแยะแนวทางบำบัดสำหรับแต่ละอาการไว้อย่างละเอียด  

สำหรับผู้ที่สนใจ ลองถามตัวเองดูว่า ชอบแนวของเรกิ หรือ แนวของการบำบัดด้วยพลังปราณ เพราะทั้ง 2 ศาสตร์มีเป้าหมายใหญ่อันเดียวกัน คือ การบำบัดอาการเจ็บป่วยต่างๆ  มุมมองโค้ชเก๋คือ ไม่ว่าจะเรียนศาสตร์ไหนก็ดีทั้งคู่ อยู่ที่ว่าเราถูกจริตกับแนวทางของศาสตร์ไหนมากกว่าก็เรียนศาสตร์นั้น หรือ จะเรียนทั้ง 2 ศาสตร์แบบโค้ชเก๋เลยก็สามารถทำได้ ขอให้เรียนแล้วนำไปใช้จริง ยังไงก็ได้ประโยชน์ค่ะ  

 

โค้ชเก๋ ปิยนุช บุญมา

7 มกราคม 2024