5 ตัวการบั่นทอนศักยภาพ ที่คนทำงานต้องรู้จักและรับมือ!

5 ตัวการบั่นทอนศักยภาพ ที่คนทำงานต้องรู้จักและรับมือ!

ตัวบั่นทอนศักยภาพ หรือ INTERFERENCE คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้โอกาสไปถึงความสำเร็จด้านการงานอาชีพของเรา มีโอกาสน้อยลง ตามสมการความสำเร็จ ที่ว่า ความสำเร็จ คือ ผลลัพธ์ของ ศักยภาพ ลบด้วย ตัวบั่นทอนศักยภาพ กล่าวคือ แม้เราจะมีศักยภาพมากแค่ไหน แต่ถ้าเรามี ตัวบั่นทอนศักยภาพ เยอะด้วย โอกาสไปถึงฝั่งฝันของเราก็จะห่างไกลออกไป

 

 

อะไรคือ กุญแจที่ทำให้คนบางคนมีความสุขและความสำเร็จมากกว่าคนอื่นอื่นคำตอบนั้นรอคุณอยู่แล้วในดีอินเนอร์เกม

 

THE INNER GAME VDO ตอนที่ 2 ตัวบั่นทอนศักยภาพ วิดีโอนี้โค้ชเก๋ ปิยนุช บุญมา โค้ชกลยุทธ์ชีวิตและธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นผู้จัดทำขึ้น เพื่อช่วยคนประสบความสำเร็จอย่างก้าวกระโดด หากอยากฟังเสียงโค้ชก๋ ปิยนุช สามารถคลิกรับฟังได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างค่ะ

 

ตัวบั่นทอนศักยภาพ หรือ INTERFERENCE  แบ่งออกได้เป็นสี่กลุ่ม คือ

  1. อารมณ์เชิงลบ
  2. ความเชื่อที่จำกัด
  3. ความขัดแย้งภายใน
  4. นิสัยไม่ดีต่างๆ

 

สำหรับในวิดีโอตอน 2 นี้ เรามาดูกลุ่มแรกกันนะคะ นั่นก็คือ อารมณ์เชิงลบ

 

ที่โค้ชเก๋ ปิยนุช จัดให้ตัวนี้อยู่ ตัวบั่นทอนศักยภาพ กลุ่มแรก เพราะอารมณ์นั้น ส่งผลต่อตัวเราอย่างมาก หากเปรียบตัวเราเป็น “ต้นไม อารมณ์เชิงลบเปรียบเหมือนกับโรคในต้นไม้นั่นเองค่ะ

 

จากต้นไม้ที่แข็งแรง เมื่อมีโรคมารุมเร้ามากๆก็จะทำให้ต้นไม้เริ่มเหี่ยวเฉา เพราะต้องใช้พลังชีวิตในการรับมือโรคเหล่านั้น แล้วอารมณ์เชิงลบ ได้แก่อะไรบ้าง ลองสำรวจตัวเองไปพร้อมกันนะคะว่ามีอารมณ์อะไรที่บั่นทอนคุณอยู่บ้าง

 

1.ความโกรธ นับเป็นอารมณ์ที่อันตรายทั้งเราและคนรอบข้างมากที่สุด หากเป็นคนที่เวลาโกรธ จะโกรธแรงและไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ คุณก็เข้าข่ายว่ามี “ความโกรธมาเป็น ตัวบั่นทอนศักยภาพ ” แล้วละค่ะ

 

  1. ความเศร้าเสียใจ เวลาที่เรามีอารมณ์แบบนี้สะสมมากๆ เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำให้เรากลายเป็นโรคซึมเศร้า

 

  1. ความกลัว ก็เป็นอีกตัวหนึ่ง ที่เป็น ตัวบั่นทอนศักยภาพ จากการวิจัยพบว่า การกลัวการถูกตัดสินและกลัวความล้มเหลวนั้น เป็นสิ่งที่คนในสังคมปัจจุบันเป็นกันเยอะ ซึ่งเหล่านี้ ทำให้เราไม่กล้าลงมือทำสิ่งใหม่ๆ และยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ทำให้เราอาจจะพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไป

 

  1. ความรู้สึกผิด ส่งผลต่อตัวเรามากกว่าที่เราคิด เพราะเวลารู้สึกผิด ลึกๆ แล้วเราจะไม่ยอมรับตัวเองและตำหนิตัวเองซ้ำๆ ซึ่งบั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเรา

 

ความเจ็บปวดที่เรียกว่า “แผลทางใจที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา” จะเหมือนแผลที่ยังอักเสบ และแม้กาลเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ถ้าเกิดเหตุการณ์คล้ายกันมากระทบ เราจะเสียศูนย์ได้ง่าย

 

บางทีเราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ทำไมเราถึงอยากหลีกเลี่ยงการทำงานกับคนบางคน หรือหลีกเลี่ยงงานบางงาน ทั้งนี้เพราะคนหรืองานนั้น อาจจะไปสะกิดแผลที่ยังอักเสบอยู่ข้างในตัวเรานั่นเอง

 

นอกจากอารมณ์ต่างๆ แล้ว โค้ชเก๋ ปิยนุช ขอกล่าวถึงอีกตัวหนึ่งด้วยค่ะ

 

  1. ภาวะความเครียด เป็นภาวะที่เกิดจากอารมณ์หลายอย่างถูกกระตุ้นพร้อมกัน เรามาดูกันว่า ความเครียดเกิดจากอะไรและส่งผลต่อตัวเรามากขนาดไหน

 

ความเครียดนั้น เกิดขึ้นเมื่อสมองและจิตใจถูกกระตุ้นด้วยสภาวะที่เรารู้สึกว่า มีอันตรายหรือถูกคุกคาม ทำให้เราเข้าสู่ SURVIVAL MODE โดยอัตโนมัติ

 

อารมณ์ที่ถูกกระตุ้นนั้น ก็มี “ความโกรธ” และ “ความกลัว” ซึ่งจะทำให้เราเข้าสู่โหมดเตรียมพร้อม ร่างกายจะดึงพลังชีวิตมาใช้เพื่อต่อสู้หรือเพื่อหนีจากอันตราย

 

ในสมัยดึกดำบรรพ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์รอดมาได้ก็ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดนี้ โดยการวิ่งหนีจากเสือ และจากภัยธรรมชาติต่างๆ ซึ่งแต่ละครั้งนั้น ร่างกายจะถูกกระตุ้นราว 15-ถึง 20 นาที เมื่อผ่านพ้นอันตรายแล้ว ทุกอย่างจะกลับสู่โหมดปกติ

 

แต่ในปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้เราเข้าสู่ SURVIVAL MODE กลับเป็นความเครียดในที่ทำงาน ทั้งจากความเร่งด่วน ความกดดันจากตัวชี้วัดต่างๆ ซึ่งเปรียบเสมือนเราวิ่งหนีเสือวันละ 8 ถึง 12 ชั่วโมง ทำให้พลังชีวิตแต่ละวันของเราถดถอยลงอย่างรวดเร็ว

 

ในภาพรวมแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป การสะสมของอารมณ์เชิงลบต่างๆ นอกจากจะทำให้เรามีพลังเหลือน้อยสำหรับโอกาสใหม่ๆ แล้ว ยังทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพเราในระยะยาว เพราะปมอารมณ์เชิงลบต่างๆ จะไปปิดกั้นการไหลเวียนของพลังชีวิตและทำให้ระบบภายในของเราเสียสมดุล

 

คนที่มีอารมณ์ลบสะสมอยู่มาก จึงมักมีปัญหาสุขภาพร่วมด้วย

 

เราจะทำให้ผมอารมณ์เชิงลบหายไปได้อย่างไร

ศาสตร์ที่ทำงานกับปมอารมณ์เชิงลบนั้นมีมากมาย ซึ่งในที่นี้ โค้ชเก๋ ปิยนุช จะกล่าวถึงเฉพาะสิ่งที่ โค้ชเก๋ ปิยนุช มีทักษะและความเชี่ยวชาญ

 

  1. การสะกดจิต ซึ่งเป็นกระบวนการทำงานกับจิตใต้สำนึกอย่างค่อยเป็นค่อยไป คล้ายๆ การนำน้ำสะอาดเข้าไปล้างสิ่งสกปรกที่สะสมภายในจิตใต้สำนึกของเรา จึงต้องทำอย่างต่อเนื่องถึงจะได้ผล และผู้รับการสะกดจิตอยู่ในภวังค์ ระดับการเรียนรู้เพื่อไว้ดูแลตัวเองในอนาคต จึงมีน้อย

 

  1. พลังงานบำบัด การนำใช้พลังงานดีไปชะล้างพลังงานลบ ควบคู่กับจัดการพลังงานลบที่ปิดกั้นสนามพลังลบให้คล้ายการลอกเปลือกหัวหอมอย่างค่อยเป็นค่อยไป

 

  1. Time Line Therapy® ได้รับการคิดค้นโดย Dr.Tad James ซึ่งได้นำจุดเด่นของทั้ง NLP (Neuro-Linguistics Programing) การสะกดจิต และหลักการของการโค้ช มาผสมผสานกัน

 

ทำให้สามารถเจาะลงไปที่แก่นของหัวหอม และสามารถคลี่คลายอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วภายในการทำหนึ่งครั้ง และยังช่วยให้เกิดระบบการเรียนรู้สำหรับจัดการตัวเอง ในเรื่องที่มีรูปแบบคล้ายกันในอนาคตได้ด้วย

 

สำหรับตอนนี้ โค้ชเก๋ ปิยนุช ก็ได้อธิบายถึง ตัวบั่นทอนศักยภาพ ซึ่งก็คือปมอารมณ์เชิงลบและศาสตร์ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว ตอนหน้า มาทำความเข้าใจกับตัวบั่นทอนศักยภาพตัวอื่นๆ กันต่อนะคะ สวัสดีค่ะ

 

คลิกเพื่อรับชมวิดีโอได้ที่นี่ค่ะ

https://business.facebook.com/CreateCareerSuccess/videos/955258838268369/

 

ชีวิตออกแบบได้…

รวมทั้งความสำเร็จของคุณด้วย